17 พฤษภาคม วันความดันโลหิตสูงโลก

โรคความดันโลหิตสูง เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชากรทั่วโลกตายก่อนวัยอันควร และเป็นปัญหาที่กำลังมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งภาวะความดันโลหิตสูงจะเรียกอีกอย่างว่า ฆาตกรเงียบ (Silent killer) เนื่องจากโรคนี้มักไม่มีสัญญาณเตือนถึงอาการและการแสดงของโรค ผู้คนจำนวนมากเป็นโรคนี้โดยที่ไม่รู้ตัวมาก่อนว่าตนเองมีความดันโลหิตสูง และหากไม่ได้รับการดูแลรักษาจะทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และโรคไต

องค์กรอนามัยโลกรายงานว่า ปัจจุบันโรคความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุการตายทั่วโลกสูงถึง 7.5 ล้านคน หรือร้อยละ 12.8 ของสาเหตุการตายทั้งหมด จำนวนผู้ที่มีความดันโลหิตสูงทั่วโลกพบว่ามีจำนวนเกือบถึงพันล้านคน ซึ่งสองในสามจะอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา และพบว่ากลุ่มวัยผู้ใหญ่ในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มี 1 คน ใน 3 คน มีภาวะความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังพบว่าวัยผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 25 ปี ประมาณ 4 ใน 10 คน จะมีความดันโลหิตสูงและในหลายๆประเทศพบว่า 1 ใน 5 คน เป็นกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง และมีการประมาณว่า 9 ใน 10 ของวัยผู้ใหญ่ที่มีอายุไปจนถึง 80 ปี จะเป็นโรคความดันโลหิตสูง (ศูนย์บริการสาธารณสุข 7 บุญมี ปุรุราชรังสรรค์, ม.ป.ป.)

สถานการณ์ของโรคความดันโลหิตสูงทั่วโลกมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นเรื่อย คาดการณ์ว่าในปี พ.ศ.2568 ประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วทั้งโลกจะป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากถึง 1.56 พันล้านคน และยังเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเกือบร้อยละ 50 ด้วยโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต และโรคหัวใจ (MedThai, 2017) ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ สมาพันธ์ความดันโลหิตสูงโลก (World Hypertension League) และสมาคมโรคความดันโลหิตสูงนานาชาติ (International of Hypertension) ได้กำหนดให้วันที่ 17 พฤษภาคม ของทุกปี เป็นวันความดันโลหิตสูงโลก โดยในระยะ 5 ปี ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2556-2561 มีคำขวัญเพื่อการรณรงค์คือ “Know Your Numbers” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสื่อสารสร้างกระแสให้ประชากรทั่วโลกเพิ่มความตระหนักต่อโรคความดันโลหิตสูง (ศูนย์บริการสาธารณสุข 7 บุญมี ปุรุราชรังสรรค์, ม.ป.ป.)

สำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง นั้นใช้ค่าความดันโลหิตที่สูงจากค่าความดันปกติเป็นตัวกำหนด และเมื่อวัดความโลหิตของผู้ป่วยอย่างน้อยสองครั้ง ในแต่ละครั้งที่มาพบแพทย์ถ้าพบว่าความดันโลหิตผิดปกติมากกว่าสองครั้งขึ้นไป โดยพบว่าเฉลี่ยของความดันตัวบนสูกว่าหรือเท่ากับ 140 มิลิเมตรปรอท หรือค่าความดันตัวล่าง สูงกว่าหรือเท่ากับ 90 มิลิเมตรปรอท ถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง  (จักรพันธ์ ชัยพรหมประสิทธิ์, 2550, น. 175)

ตารางการแบ่งระดับความรุนแรงของความดันโลหิตสูงในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป

ประเภท

ความดันช่วงบน (มม.ปรอท)/ความดันช่วงล่าง (มม.ปรอท)

ความดันโลหิตปกติ < 120 และ < 80
ความดันโลหิตปกติที่ค่อนไปทางสูง 120-129 และ < 80
ความดันโลหิตสูงระดับที่ 1 130-139 และ/หรือ 80-89
ความดันโลหิตสูงระดับที่ 2 ≥ 140 และ/หรือ ≥ 90
ความดันช่วงบนสูงเดี่ยว ≥ 140 และ < 90
[quote arrow=”yes”]ชนิดของโรคความดันโลหิตสูง (ผ่องพรรณ อรุณแสง, 2552, น. 214-215)[/quote] [dropcap font=”Arial” color=”#cc0033″]1[/dropcap]ความดันโลหิตสูงปฐมภูมิหรือความดันโลหิตสูงไม่ทราบสาเหตุ ( Primary hypertension or essential hypertension or hypertension) เป็นความดันโลหิตสูงที่เกิดจากหลายปัจจัยโดยไม่ ทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการรักษาสมดุลของร่างกาย พบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุ ระหว่าง 25-55 ปี และไม่ค่อยพบในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี ส่วนใหญ่จะมีความดันโลหิตทั้งซีสโตลิค และไดแอสโตลิคสูง ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับความสูงของค่าความดันโลหิตทั้งซีสโตลิคและได แอสโตลิค
[dropcap font=”Arial” color=”#ff6642″]2[/dropcap]ความดันโลหิตสูงทุติยภูมิ ( Secondary hypertension) เป็นความดันโลหิตสูงที่ทราบ สาเหตุ เช่น เป็นโรคไต โรคของต่อมไร้ท่อ ความผิดปกติของระบบประสาท ยาบางชนิด เช่น ยา คุมกำเนิดชนิดเม็ดรับประทาน ภาวะเครียดเฉียบพลัน ความผิดปกติของหลอดเลือดและความดัน โลหิตสูงจากการตั้งครรภ์ เป็นต้น และสาเหตุที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงบางอย่างสามารถแก้ไข ได้ ดังนั้นจึงมีความสำคัญในการจำแนกสาเหตุของความดันโลหิตสูง ทั้งนี้เพื่อประสิทธิภาพในการ บำบัด ความรุนแรงของความดันโลหิตสูงขึ้นอยู่กับโรคที่เป็นสาเหตุ ปัจจัยส่วนบุคคลและ สิ่งแวดล้อมและระยะเวลาของการเป็นโรคที่เป็นสาเหตุ
[dropcap font=”Arial” color=”#cc0033″]3[/dropcap]เป็นความดันโลหิตสูงที่พบในบุคคลที่มีความดันโลหิตอยู่ใน เกณฑ์ปกติ แต่จะมีความดันโลหิตสูงเมื่อเจ้าหน้าที่ทีมสุขภาพวัดความดันโลหิตให้ เชื่อว่าเกิดจาก การตอบสนองของประสาท เวกัสทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นชั่วคราว การตรวจวินิจฉัยเพื่อยืนยัน แยกโรคออกจากความดันโลหิตสูงชนิดปฐมภูมิและทุติยภูมิ เป็นสิ่งที่สำคัญต่อการป้องกันและการ บำบัดรักษา
[dropcap font=”Arial” color=”#ff9900″]4[/dropcap]ความดันโลหิตสูงเฉพาะความดันซีสโตลิค และความดันโลหิตสูงเฉพาะความดันได แอสโตลิค – ความดันโลหิตสูงเฉพาะซีสโตลิค เป็นความดันที่มีค่าความดันซีสโตลิคสูงเท่ากับหรือ มากกว่า140 มิลลิเมตรปรอท แต่ความดันไดแอสโตลิคยังคงต่ ากว่า 90 มิลลิเมตรปรอท เชื่อว่าเกิด จากการมีปริมาตรเลือดที่หัวใจส่งออกต่อนาทีเพิ่มขึ้น หรือเกิดจากอเทอโรสเคลอโรซีส (atherosclerosis) ของหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดยืดหยุ่นได้น้อย ในผู้สูงอายุอาจเกิดได้จากทั้ง สองสาเหตุ การเกิดและความรุนแรงของความดันโลหิตสูงชนิดนี้มักเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น – ความดันโลหิตสูงเฉพาะความดันไดแอสโตลิค เป็นความดันโลหิตสูงที่มีเฉพาะความดัน ไดแอสโตลิคสูงเท่ากับหรือมากกว่า 90 มิลลิเมตรปรอท แต่ความดันซีสโตลิคยังคงต่ำกว่า 130 มิลลิเมตรปรอท
[dropcap font=”Arial” color=”#83c8d4″]5[/dropcap]ความดันโลหิตสูงชนิดร้ายแรง เป็นความดันโลหิตสูงที่มีความดันไดแอสโตลิคสูงกว่า 110 มิลลิเมตรปรอท ตลอดเวลาและมักมีการท าลายอวัยวะเป้าหมายด้วย เกิดเนื่องจากไม่ได้รับ การบำบัดรักษาความดันโลหิตสูงที่เป็นอยู่ หรือผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการบำบัด และจะกลายเป็น ภาวะฉุกเฉินหาก ความดันโลหิตยังสูงต่อเนื่องโดยไม่ได้รับการแก้ไข[divide icon=”circle” width=”medium”] [quote font_size=”18″ color=”#ffdf42″ bgcolor=”#996633″ bcolor=”#ffdf42″ arrow=”yes”]อาการของความดันโลหิตสูง[/quote]

ความดันโลหิตสูงโลก-world-hypertension-dayในระยะแรกของโรคหรือในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงเล็กน้อยหรือปานกลาง มักไม่ค่อยมี อาการจึงทำให้ผู้ป่วยไม่ทราบว่าตนเองมีความดันโลหิตสูงหรือไม่ค่อยได้รับความสนใจที่จะรักษา เมื่อปล่อยให้ความดันโลหิตสูงต่อไปนาน ๆ หรือมีระดับความดันโลหิตสูงมากขึ้น อาจมีอาการ ต่าง ๆปรากฏได้ แต่อาการที่พบมักไม่เฉพาะเจาะจง อาการที่อาจพบ (ผ่องพรรณ อรุณแสง, 2552, น. 223-224) ได้แก่

  1. ปวดศีรษะ มักพบในผู้ป่วยที่มีระดับความดันโลหิตสูงมาก ลักษณะอาการปวดมักจะ ปวดที่บริเวณท้ายทอย โดยเฉพาะในช่วงเช้าหลังตื่นนอน และมักหายไปได้เองหรือค่อยๆ ดีขึ้น ภายในไม่กี่ชั่วโมง เชื่อว่าเกิดจากการมีความดันในกระโหลกศีรษะสูง ดังนั้นจึงอาจพบ อาการ คลื่นไส้อาเจียน หรือตามัว ร่วมด้วย
  2. เวียนศีรษะ มึนงง อาจจะเกิดร่วมกับอาการปวดศีรษะหรือไม่ก็ได้ อาจเกิดจากสมองขาด เลือดไปชั่วขณะ
  3. เลือดกำเดาไหล จากความผิดปกติของหลอดเลือด แต่พบไม่บ่อยนัก
  4. อาการหายใจลำบากขณะออกแรง หรือทำงานหนัก หรืออาการหายใจลำบากเมื่อนอน ราบจากภาวะหัวใจล้มเหลว
  5. อาการเจ็บหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือหลอดเลือดเอออร์ตา เซาะฉีกขาด ซึ่งพบไม่บ่อยนัก
  6. อาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้ เช่น ปัสสาวะมาก กระหายน้ำ ใจสั่น และอาการตามพยาธิ สภาพของอวัยวะสำคัญที่สูญเสียหน้าที่ เช่น โรคหลอดเลือดสมองและไตเสียหน้าที่
[quote arrow=”yes”]การป้องกันความดันโลหิตสูง[/quote]

สำหรับคนทั่วไปอาจป้องกันไม่ให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต (MedThai, 2017) ดังนี้

[dropcap font=”Arial” color=”#cc0033″]1[/dropcap]รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะทุกวัน เน้นผักและผลไม้ชนิดไม่หวานให้มาก ๆ และลดอาหารพวกไขมันชนิดอิ่มตัว แป้ง น้ำตาล ของหวาน และอาหารเค็ม
[dropcap font=”Arial” color=”#ffdf42″]2[/dropcap]ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยให้มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) น้อยกว่า 23 กก./ม.2 ความยาวรอบเอวน้อยกว่า 90 เซนติเมตรในผู้ชาย และ 80 เซนติเมตรในผู้หญิง ด้วยการควบคุมอาหารและหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
[dropcap font=”Arial” color=”#cc0033″]3[/dropcap]ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น แอโรบิก การเดินเร็ว วิ่งเหยาะ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ ครั้งละ 30-45 นาที สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง หรือวันเว้นวัน
[dropcap font=”Arial” color=”#ff9900″]4[/dropcap]พักผ่อนให้เพียงพอและรักษาสุขภาพจิตให้ดีอยู่เสมอ
[dropcap font=”Arial” color=”#cc0033″]5[/dropcap]ลดปริมาณของเกลือโซเดียมที่บริโภคไม่ให้เกินวันละ 2.4 กรัม (เทียบเท่าเกลือแกง 6 กรัม หรือประมาณ 1 ช้อนชา
[dropcap font=”Arial” color=”#ffdf42″]6[/dropcap]ถ้าเป็นผู้ดื่มแอลกอฮอล์อยู่แล้ว สำหรับผู้ชายควรจำกัดปริมาณของแอลกอฮอล์ให้ไม่เกินวันละ 2 หน่วยการดื่ม (เทียบเท่ากับวิสกี้ 90 มิลลิลิตร ไวน์ 300 มิลลิลิตร หรือเบียร์ 720 มิลลิลิตร) ส่วนผู้หญิงและผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อยควรจำกัดปริมาณของการดื่มแอลกอฮอล์ให้ไม่เกินวันละ 1 หน่วยการดื่ม (เทียบเท่ากับวิสกี้ 45 มิลลิลิตร ไวน์ 3150 มิลลิลิตร หรือเบียร์ 360 มิลลิลิตร)
[dropcap font=”Arial” color=”#cc0033″]7[/dropcap]ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้อยู่เพราะอาจมียาบางตัวที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงได้ ส่วนการใช้ยาคุมกำเนิดแนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์
[dropcap font=”Arial” color=”#ff9900″]8[/dropcap]ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป แม้ว่าจะยังรู้สึกสบายดีก็ควรไปตรวจสุขภาพซึ่งรวมถึงการตรวจวัดความดันโลหิตอย่างน้อยทุก 2 ปี ส่วนผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป แนะนำว่าควรไปตรวจวัดความดันโลหิตอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือตรวจบ่อยตามที่แพทย์หรือพยาบาลแนะนำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีรูปร่างอ้วนหรือมีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้ (อาจเป็นสถานพยาบาลใกล้บ้านก็ได้ เช่น คลินิกแพทย์ สถานีอนามัย ศูนย์บริการสาธารณสุข)


จักรพันธ์ ชัยพรหมประสิทธิ์.  (2550).  ตำราอายุศาสตร์ 4 (พิมพ์ครั้งที่ 3).  กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ผ่องพรรณ อรุณแสง.  (2552).  การพยาบาลผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด.  ขอนแก่น: คลังนานาวิทยา.
พนิดา กุลประสูติดิลก.  (2543).  อาหารสำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง.  กรุงเทพ: สุขใจ.
ศูนย์บริการสาธารณสุข 7 บุญมี ปุรุราชรังสรรค์.  (ม.ป.ป.).  การวัดความดันโลหิตเป็นประจำอย่างน้อย ปีละ ๑ ครั้ง และทราบความหมายค่าความดันโลหิตของตนเอง. เข้าถึงได้จาก http://www.bangkok.go.th/ healthcenter7/page/sub/7741/ข่าวสาสุขภาพ/0/info/38106/17-พฤษภาคม-วันความดันโลหิตสูงโลก-World-Hypertension-day
MedThai. (2017). ความดันโลหิตสูง (Hypertension) อาการ, สาเหตุ, การรักษา, วิธีป้องกัน ฯลฯ. เข้าถึงได้จาก https://medthai.com/โรคความดันโลหิตสูง/

17 พฤษภาคม วันความดันโลหิตสูงโลก